วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

"จากหัวข้อที่นิสิตมีความสนใจในการทำวิจัยในสัปดาห์ที่ 1 ให้เขียนวิเคราะห์แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการวิจัยกับนวัตกรรมการศึกษาของงานวิจัยที่ศึกษา"
                การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันจะต้องมุ่งเน้นไปที่การให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง  และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง   โดยการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันนั้นพบปัญหาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนขาดทักษะทางวิทยาศาสตร์  ขาดทักษะกระบวนการในการทำงานร่วมกับผู้อื่น  รวมทั้งยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเนื้อหาวิทยาศาสตร์ต่างๆ  ดังนั้นจึงต้องมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องดังกล่าว ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้จึงทำให้เกิดความสนใจในการวิจัยเรื่อง การศึกษามโนมติทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning :PL)” โดยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนั้นเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเป็นการเรียนรู้ที่มีความเชื่อว่าเป็นการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาในด้านความรู้ ทัศนคติ ทักษะ และพฤติกรรมของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี  เนื่องจากการเรียนรู้แบบนี้เป็นการดึงประสบการณ์ ศักยภาพของผู้เรียนออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่  โดยหลักการสำคัญของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  คือ กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเรียนรู้ที่อาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ซึ่งการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงของผู้เรียน  ( Active Learning )  และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และระหว่างผู้เรียนกับครู ซึ่งกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนั้นจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอภิปรายร่วมกัน ดังนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถสรุปความคิดต่างๆ และจะช่วยปรับให้ผู้เรียนมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องอีกด้วย ซึ่งงานวิจัยนี้มีขั้นตอนกระบวนการ ดังต่อไปนี้

1)     ศึกษาเนื้อหาที่สนใจ  วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
2)     สร้างเครื่องมือวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์
3)     ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์
4)     จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
5)      ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์


เอกสารอ้างอิง
สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. การจัดการะบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม. 2544
             เชียงใหม่: เชียงใหม่ บี เอส การพิมพ์.

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

อิทธิพลของสื่อเทคโนโลยีมีผลต่อการสื่อสารการศึกษา


อิทธิพลของสื่อเทคโนโลยีมีผลต่อการสื่อสารการศึกษาอย่างไรบ้าง


          โลกในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ  ในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น  ทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม  และการศึกษา   โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นคือ  ทำให้มีการใช้แรงงานคนน้อยลง ผู้ที่มีทุนมากอาจนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งานทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กลดลง แต่ในทางตรงกันข้ามการที่แต่ละคนสามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีขนาดเล็กอาจจะทำให้เขากลายเป็นนายทุนอิสระ หรือรวมตัวเป็นสหกรณ์เจ้าของเทคโนโลยีร่วมกัน และอาจทำให้เกิดองค์กรทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้  ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม คือ  การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีบางตัวมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้วย นอกจากนี้การสร้างเทคโนโลยีการผลิตมากขึ้น มีผลทำให้มีการขุดค้นพลังงานธรรมชาติมาใช้ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในทางอ้อมและการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยปราศจากทิศทางการดูแลที่เหมาะสมจะทำให้สิ่งแวดล้อมเกิดมลภาวะมากยิ่งขึ้น 

และสำหรับผลของเทคโนโลยีต่อด้านการศึกษานั้น จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้สำหรับการเรียนการสอนเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หลายๆอย่าง เช่น สอนด้วยสื่ออุปกรณ์ที่ทันสมัย ห้องเรียนสมัยใหม่ มีอุปกรณ์วิดีโอ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีระบบการอ่านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบต่างๆ รูปแบบของสื่อที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนมีหลายหลายขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำมาใช้  เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation)  ระบบอินเตอร์เน็ตต่างๆ 

และโดยเฉพาะในด้านการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานั้น สื่อเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการศึกษา  เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสอนเนื้อหาที่เป็นนามธรรมซึ่งยากแก่การเข้าใจนำมาทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นซึ่งจะมีผลทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น  และจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากที่จะเรียนรู้มากขึ้น  เนื่องจากสื่อสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ  โดยจะทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองเมื่อผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงจะให้มีความเข้าใจเนื้อหาและภูมิใจในการหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง และยังทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาไม่เฉพาะแค่ในห้องเรียนเท่านั้น   นอกเหนือจากนั้นสื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ยังเป็นตัวช่วยในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนที่อยู่ห่างไกลหรือไม่สะดวกในการเดินทาง โดยการใช้การศึกษาผ่านดาวเทียม  หรือการใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สำหรับผู้พิการทางสายตาหรือทางหู  ซึ่งจะเห็นได้ว่าสื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น หากเรานำไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์   ซึ่งตัวครูผู้สอนนั้นในฐานะเป็นผู้ใช้นวัตกรรมในการสร้างแรงจูงใจและแรงขับในการที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนหาคำตอบของปัญหาด้วยตนเอง   ดังนั้นครูจะต้องมีความตื่นตัวและหมั่นติดตามความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ให้ทันตามความก้าวหน้า และเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับสถานภาพและสิ่งแวดล้อมของตนเอง หมั่นศึกษาและติดตามความรู้วิทยาการใหม่ ๆ ให้ทัน จะช่วยให้ตัดสินใจนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อการศึกษาได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ

           

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์พัฒนาทรัพยากรการศึกษา.  กระบวนการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีการเรียนการสอน. สืบค้นเมื่อ

          16 กันยายน 2557 จาก http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/0503780/ 

Unit06/unit06_011.htm

ยงยุทธ ชมไชย.  (2554).  ประโยชน์และตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. สืบค้นเมื่อ

          16 กันยายน 2557 จาก https://sites.google.com/site/kruyutsbw/prayochn-laea-tawxyang
 

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning : PL)


ให้นิสิตศึกษานวัตกรรมทางการศึกษาที่สนใจมา 1 รายการ โดยวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นสำนวนภาษาของตนเองในกรรมที่ประเด็นต่อไปนี้

1)       สรุปลักษณะหรือรายละเอียดของนวัตกรรมที่ศึกษา
               การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning :  PL) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเป็นการเรียนรู้ที่มีความเชื่อว่าเป็นการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาในด้านความรู้  ทัศนคติ ทักษะ และพฤติกรรมของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี  เนื่องจากการเรียนรู้แบบนี้เป็นดึงประสบการณ์ ศักยภาพของผู้เรียนออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่  โดยหลักการสำคัญของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  คือ กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเรียนรู้ที่อาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน  การเรียนคือกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง  เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงของผู้เรียน  ( Active Learning )  และการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และระหว่างผู้เรียนกับครู   โดยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม มีองค์ประกอบ ดังนี้
                     1.  ประสบการณ์  (Experience)  เป็นขั้นตอนที่ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้และประสบการณ์เดิมของตนเองมาพัฒนาเป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ของตนเอง โดยการศึกษาหาความรู้จากครู จากสื่อต่างๆ รวมทั้งการทำงานกลุ่ม เป็นต้น
                   2.  สะท้อนความคิด/ อภิปราย (Reflection and Discussion) เป็นขั้นตอนที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสร้างบรรยากาศเพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยผู้เรียนและครูร่วมกันกำหนดประเด็นหัวข้อในการอภิปรายกลุ่มย่อยเพื่อนำเสนอต่อกลุ่มใหญ่เพื่อรับฟังความคิดเห็นโดยใช้ความรู้พื้นฐานจากประสบการณ์ของผู้เรียน
                      3.   ความคิดรวบยอด  (Concept) เป็นขั้นตอนการสร้างความเข้าใจของผู้เรียนเอง โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากผลของการสะท้อนความคิดและอภิปรายเพื่อนำไปสู่การเกิดความคิดรวบยอดให้เป็น
ความรู้ของตนเอง
                      4.   ทดลอง/ ประยุกต์แนวคิด (Experimentation/Application) เป็นขั้นตอนที่ต้องการให้ผู้เรียน
นำผลจากขั้นความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นใหม่ไปประยุกต์ใช้ในลักษณะหรือสถานการณ์ต่างๆ จนเกิดเป็นแนวทาง
ของตนเอง

2)       ค้นคว้าทฤษฎีที่สนับสนุน
              การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  มีพัฒนาการมาจากการนักปรัชญาการศึกษา คือ Dewey ที่ได้เริ่มใช้วิธีการเรียนรู้จากการกระทำ (learning by doing)  ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เป็นการดึงเอาความสามารถของผู้เรียนออกมา  ซึ่งผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น ผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาได้มากขึ้น และการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้ยังเป็นการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ดังที่มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542  ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและตามศักยภาพ รวมทั้งการจัดการเรียนรู้แบบนี้ยังต้องอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน  ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี Constructivism ที่ว่ามนุษย์สามารถสร้างความรู้ของตนเองได้โดยอาศัยประสบการณ์และความรู้เดิมของแต่ละคน  ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม  การเรียนรู้ของแต่ละบุคคนจะมีระดับแตกต่างกันไป เรียกได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับ  และผู้เรียนจะควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง  และสอดคล้องกับที่โคล์บ และฟราย (Kolb and Fry. 1975)  ได้กล่าวว่า  การเรียนรู้จากประสบการณ์  คือ กระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำเอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ   

           3) การนำไปประยุกต์ใช้
                  การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนั้น  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น  นำไปใช้ในการอภิปรายกลุ่มในรายวิชาต่างๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นหรือมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  รวมทั้งนำไปประยุกต์ใช้โดยเมื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการสรุปความคิดต่างๆ ในรูปแบบของแผนผังความคิด  (Mind mapping) ซึ่งเป็นขั้น Concept  เพื่อเป็นการสรุปความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง   และการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานอื่นๆ ได้อีกด้วย  เช่น  งานพัฒนาชุมชนต่างๆ ซึ่งจะนำเอาหลักการของการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้เพื่อให้ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ของชุมชน 

              4) การวิพากษ์ข้อดี ข้อจำกัด ข้อค้นพบ
                   การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เป็นการเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์และการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม  ซึ่งมีข้อดี คือ ผู้เรียนได้มีการดึงเอาประสบการณ์ของตนเองที่ติดตัวออกมาใช้ในการเรียนรู้   
ผู้เรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น  เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากเพื่อนในกลุ่มเพิ่มมากขึ้นด้วย  และช่วยกันทำงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยดี  ซึ่งผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในทุก      กระบวนการ รวมทั้งการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง
               ในส่วนของข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) คือ  เมื่อมีการจัดกิจกรรมกลุ่ม อาจมีผู้เรียนบางคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือไม่ยอมแสดงความคิดเห็นร่วมกับผู้อื่น  รวมทั้งในการจัดกิจกรรมกลุ่มนั้น  อาจจะทำให้ผู้เรียนไม่ได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทุกคน  ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้

เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต.  คู่มือฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. 2544.  พิมพ์ครั้งที่ 4.  กรุงเทพมหานคร:วงศ์กมลโปรดักชั่น.
สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. การจัดการะบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม. 2544. 
         เชียงใหม่: เชียงใหม่ บี เอส การพิมพ์.